หลายๆคนคงสงสัยเวลาดูหนังแวมไพร์หลายๆเรื่องแล้วสังเกตเห็นว่าเขี้ยวของแวมไพร์แต่ล่ะเรื่องแต่ล่ะตัวไม่เห็นเหมือนกันเลยใช่ไหม? ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับจินตาการของผู้สร้างด้วยว่าจะออกแบบเขี้ยวของแวมไพร์ยังไง ในที่นี้จะลองเปรียบเทียบแบบเขี้ยวของหนัง เรื่อง vampire diaries, nosferatu, interview with the vampire, trueblood ,underworld, supernatural
วันพุธที่ 24 กันยายน พ.ศ. 2557
อลิซาเบธ บาโธรี่ แดร็กคูล่าแห่งฮังการี
เคาท์เตส อลิซาเบธ บาโธรี่ เป็นหญิงสาวที่มีความเชื่อในเรื่องชีวิตที่เป็นอมตะ และต้องการคงร่างของตนเองให้คงดูอ่อนเยาว์อยู่เสมอ จึงมีความคิดที่ว่า หากได้อาบเลือดของหญิงสาวบริสุทธิ์แล้ว จะทำให้ตนเองดูอ่อนเยาว์ได้ตลอดไป เธอจึงสั่งให้คนรับใช้ไปเอาร่างของหญิงสาวบริสุทธิ์ มากรีดเอาเลือดใส่อ่างด้วยเครื่อง ไอรอน เมเดน (Iron maiden) แล้วอาบต่างน้ำ โดยมีเหยื่อที่ต้องสังเวยชีวิตให้กับเธอไปไม่น้อยกว่า 600 คน กว่าที่เธอจะถูกคนจับไปขังในคุกมืดจนตาย เธอได้รับสมญานามว่า The Blood Countess และ Countess Dracula
เอลิซาเบธ
เกิดในปราสาทเชิงเขาคาร์เทียนใกล้ๆ กับแคว้นทรานซิลวาเนีย
ซึ่งเป็นของตระกูลบาโธรี่อันเป็นตระกูลขุนนางชั้นสูงของฮังการี่และสืบสายมา
จากตระกูลแฮบสเบิร์กอันเก่าแก่ของยุโรป ตระกูลบาโธรี่จึงเป็นตระกูลที่เก่าแก่ร่ำรวย
มีอำนาจล้นหลาม เป็นที่น่ายำเกรงของประชาชนทั่วไป
และปกครองแคว้นทรานซิลวาเนียมาหลายต่อหลายยุคสมัย ความจริงแล้ว
เอลิซาเบธไม่ใช่เด็กหญิงที่สวยงาม
เธอออกจะขี้เหร่ด้วยซ้ำแต่ด้วยความที่เป็นลูกผู้ดีมีตระกูล จนจักรพรรดิมาร์คมิชิเลียนที่
2
เคยมาขอดูตัวด้วยซ้ำ
เอลิซาเบธจึงมีทั้งความสวยทั้งหน้าตา รูปร่าง และชาติตระกูลสูงส่ง
เพราะเธอกลับมีอาการบกพร่องทางจิตอย่างรุนแรง
เป็นเรื่องธรรมดาของตระกูลเก่าแก่ที่มีการแต่งงานกันเองในหมู่ญาติเพื่อ
รักษาทรัพย์สมบัติและอำนาจเอาไว้ ทำให้ผู้สืบสายเลือดตระกูลนี้จำนวนมากมีอาการบกพร่องทางจิตอันเนื่องมาจาก
ลักษณะทางพันธุกรรม เป็นต้นว่าโรคฮิสทีเรีย
หรือแม้แต่การสืบทอดของสาวกลัทธิบูชาปีศาจ ผู้มักมากในกาม ฯลฯ เอลิซาเบธ
ก็เช่นเดียวกัน นิสัยเพี้ยนของเอลิซาเบธ ปรากฏตั้งยังเล็กๆ
เอลิซาเบธนั้นแทนที่จะพอใจกับเกียรติยศที่ผู้คนเตรียมใส่พานทองมาประเคนให้
แต่เธอกลับทำท่าเบื่อหน่ายพวกพี่เลี้ยง ครูอาจารย์ที่มาอบรมสั่งสอน
เธอกลับเกเรหนีเรียน แอบไปเที่ยวเล่นกับลูกชาวนา ชาวไร่ที่เป็นทาส
เธอชอบเล่นสัปดนเสียจนท้องเมื่ออายุเพียง 13
ข่าวที่น่าอับอายถูกส่งไปบอกผู้เป็นมารดาอย่างเร่งด่วน
และก่อนที่จะมีผู้ใดระแคะระคาย
เธอก็ถูกส่งตัวไปไว้ในปราสาทแห่งหนึ่งของตระกลูบาโธรี่ที่ห่างไกลสายตาผู้คน
ท่านแม่ของเธออ้างว่าลูกสาวไม่สบายต้องการอยู่ในที่สงบเพื่อรักษาตัว
และเมื่อทารกเกิดมาก็อาจถูกฆ่าทิ้งหรือไม่ก็ถูกส่งไปที่ลับหูลับไม่ให้มีใครเห็น
ไม่ไม่ใครรู้ว่าทารกลูกคนแรกของเอลิซาเบธหลังจากลืมตามายังโลก
สุดท้ายแล้วซะตากรรมเป็นเช่นใด
เมื่อเธอโตขึ้น
เอลิซาเบธ เริ่มมีอาการป่วยเป็นโรคปวดหัวเรื้อรังจนตลอดชีวิตของเธอ
มีหมอหลายคนทำการรักษาแต่ก็ไม่หายจนกระทั่ง
มีเรื่องเล่ากันว่าในสมัยเด็กที่เธอเกิดอาการปวดหัวอย่างรุนแรง
จนกัดเนื้อไหล่ของสาวใช้ที่เข้ามาพยาบาล หลุดออกมา
เอลิซาเบธได้ยินเสียงกรีดร้องของสาวใช้นั่นเอง
อาการปวดหัวของเธอกลับหายเป็นปลิดทิ้ง นับแต่นั้นมา เกิดอาการปวดหัว
เธอก็จะทรมานสาวใช้เพื่อให้เสียงร้องเหล่านั้นเป็นยาระงับอาการของเธอ
ปี 1575 เมื่อเอลิซาเบธ
อายุ 15
ปี เธอก็แต่งงานกับท่านเคานท์ฟีเรนซ์
นาดาสดี้ซึ่งเป็นลูกพี่ลูกน้องที่อายุมากกว่า 11 ปี
(หลังจากแต่งงานแล้ว เอลิซาเบธ ก็ยังคงใช้ชื่อตระกูลเดิม)
ทั้งสองย้ายที่อยู่ไปยังปราสาทเซติซ ปราสาทกว้างใหญ่กลางป่าลึกบนภูเขาคาร์ลปาเชีย
ในสโลวาเกีย เพื่อจะอบรมเตรียมรับตำแหน่งเคาน์เตส ท่านเคานท์ฟีเรนซ์ นาดาสดี้
ไม่ใช่คนดีมากนัก สองสามีภรรยามักสนุกตื่นเต้น สนุกสนาน
อยู่ด้วยกันเสมอกับการได้ทรมานบ่าวไพร่ ซึ่งเคาน์ฟีเรนซ์
มักจะเล่าให้อลิซาเบธฟังถึงการที่เขาเคยทรมานเชลยชาวเติร์กอย่างโหด เหี้ยม
และอลิซาเบธเองก็สนองคิดค้นหาวิธีสยดสยองต่างๆนาๆมาทดลองใช้กับคนของตัวบ้าง
ทั้งสองมีความสุขกับรสนิยมที่ต้องกันอย่างนี้มากล้นจนมีบุตรธิดาด้วยกันถึง
4
คน
แต่ฟีเรนซ์มักจะไปออกรบตามที่ต่างๆจนไม่ค่อยอยู่ติดปราสาท ชีวิตสมรสของเอลิซาเบธ
จึงไม่หวานชื่นเท่าใดนัก อาการปวดหัวของเธอกำเริบถี่ขึ้นและการทรมานสาวใช้ก็ค่อยๆหนักข้อขึ้นทุกที
เป็นต้นว่า การแทงเข็มเข้าที่ปลายนิ้วของสาวใช้
หรือจับสาวใช้มาทาน้ำผึ้งทั่วตัวแล้วโยนลงไปในห้องใต้ดินที่เต็มไปด้วยมด
แต่นี่ก็ยังไม่นับเป็นการเปิดฉากตำนานเลือดของเธอ
เอลิซาเบธ เริ่มหางานอดิเรกใหม่มาทดแทนชีวิตอันน่าเบื่อ
ซึ่งก็คือมนต์ดำที่คนรับใช้เป็นผู้แนะนำนั่นเอง
เธอมักจะลงไปหมกตัวอยู่ในห้องใต้ดินและประกอบพิธีกรรมประหลาดกับคนรับใช้ บ่อยครั้ง
และในไม่ช้าเอลิซาเบธ ก็เริ่มมีชู้
ฟีเรนซ์รับรู้เรื่องนี้แต่ใจกว้างพอที่จะทำเป็นไม่รู้ไม่เห็น หากไม่นานนักแม่ของฟีเรนซ์ก็ย้ายมาอยู่ด้วย
จึงเป็นการเปิดสงครามเย็นระหว่างแม่สามีลูกสะใภ้ในที่สุด
เอลิซาเบธมักประพฤติตัวเป็นภรรยาผู้เรียบร้อยต่อหน้าสามี
แต่พอลับหลัง เธอก็ทำกระทั่งการจับสาวใช้ของแม่สามีมาทรมานจนตาย จะอย่างไรก็ตาม
เอลิซาเบธมีลูก 4
คน จึงทำให้สภาพครอบครัวยังไม่ถึงกับพังทลายลงในทีเดียว
ชีวิตฆาตกรของเธอเริ่มต้นขึ้นหลังจากการตายของสามีเสียมากกว่า ปี 1600 ในฤดูหนาว
เอลิซาเบธอายุได้ 40
ปี
ฟีเรนซ์สามีคู่ชีวิตซาดิสต์ได้เสียชีวิตลงในขณะอายุ เพียง 51 ปี
ทิ้งสมบัติและอำนาจทุกอย่างไว้ในมือของภรรยา และแทบจะในวันเดียวกันนั้นเอง
แม่ก็จากโลกนี้ตามลูกชายไปอีกคน มีข่าวลือภายหลังว่าเป็นการวางยาพิษ
เธอกลายเป็นราชินีในอาณาจักรของเธอ
มีอย่างหนึ่งที่ไม่เป็นไปดังใจคิด เอลิซาเบธมีความภูมิใจในรูปโฉมของตัวเองมาก
แต่ตัวเธอก็ไม่สามารถเอาชนะกาลเวลาได้ นับวันร่างกายเหี่ยวยานตามกาลเวลา
เธอต้องการความสวยที่เป็นอมตะตลอดกาล
มีการสั่งให้แม่มดหมอผีที่คุ้นเคยทำยาคืนความสาวมาใช้หลายขนาน
แต่ไม่ว่าอันไหนก็ไม่ค่อยเห็นผลเท่าใดนัก จนกระทั่งเช้าวันหนึ่ง
เธอตื่นขึ้นมาล้างหน้าล้างตาแต่งองค์ทรงเครื่อง ทันใดนั้นขณะที่เธอส่องดูเงาตัวเองในกระจกเธอนึกได้ว่า
อายุเธอปาเข้าไปตั้ง 45
แล้วนี่นา
เอลิซาเบธจะไม่สวยแต่เธอก็ไม่อยากแก่และกลัวอย่างที่สุด
เธอรู้สึกเหมือนความแก่เฒ่านั้นมันมีตัวตน
ขณะที่สาวใช้กำลังสางผมให้กับเอลิซาเบธ
ดึงผมหลุดติดหวีมาหลายเส้น เอลิซาเบธระเบิดอารมณ์ทันที เธอใช้เชิงเทียนที่อยู่ใกล้มือทุบเด็กสาวอย่างไม่ยั้งมือ
หยาดเลือดสาดกระเซ็นเป็นฝอยมาติดตามตัวของเธอ
เธอนั่งลงเห็นหยาดเลือดทาสที่กระเด็นมา จึงให้สาวใช้ต้นห้องเอาผ้าชุบน้ำมาเช็ดหน้า
เมื่อเคาน์เตสพบว่าใต้รอยเลือดนั้นผิวของเธอกลับนุ่มนวลผุดผ่องเป็นยองใยราวสาวแรกรุ่นอ่อนนุ่ม
ผิดกับผิวเนื้อตรงอื่นอย่างเหลือเชื่อ เธอคิดได้ว่าเลือดสด ๆ
มีคุณสมบัติพิเศษที่จะบันดาลให้เธอเป็นสาวอมตะได้ตลอดกาล
เลือดนั้นจะต้องเป็นของสาวแรกรุ่นซินะ มันถึงจะได้ฤทธิ์ของน้ำแห้งชีวิตอย่างเต็มที่
และด้วยเหตุนี้เองโศกนาฏกรรมการฆ่าสังหารเด็กสาวกว่า
600
คนเพื่อประทังความงามของเอลิซาเบธ
บาโธรี่จึงเริ่มต้นขึ้น เหยื่อของเอริซาเบทส่วนใหญ่จะเป็นคนเลือกเหยื่อด้วยตนเอง
เธอต้องการเลือดของเด็กสาวบริสุทธิ์
โดยเฉพาะสาวแรกรุ่นเธอสั่งให้เชือดและชำแหละเพื่อรีดเลือดทุกหยดออกมาให้ได้มากที่สุด
เด็กหญิงคนแล้วคนเล่าต้องตายอย่างทุกทรมาน บางคนถูกกรีดร่างจนเป็นริ้วลึกถึงกระดูก
ตัดเส้นเลือดทุกเส้นในร่างกายหลายคนถูกแหวะอก
ผ่าท้องกรีดหัวใจเลือดพุ่งไหลเป็นสายน้ำ แล้วให้เธออาบร่างนั้นอย่างมีความสุข
เมื่อลูกทาสของคนรับใช้และทาสในที่ดินตายหมดแล้ว
เอริซาเบทก็ให้ลูกน้องบริวารไปล่อลวงหลอกเอาสาวชาวบ้านตามชนบทเข้ามา
เอลิซาเบทเริ่มทำการรวบรวมเด็กสาวจากที่ต่างๆในดินแดนของตน
ชาวบ้านที่ยากจนต่างก็ยินดีที่จะส่งลูกสาวออกมาทำงานในปราสาทเพียงเพื่อแลก
กับเสื้อผ้าไม่กี่ชุด
เหล่าเด็กสาวพากันลอดประตูปราสาทเข้ามาด้วยใบหน้าร่าเริงราวแต่ไม่มีใครที่รอดกลับมาได้
พวกเธอถูกคั้นเลือดออกมาจนหยดสุดท้ายแล้วถูกฝังไว้ในสวนหลังปราสาทโดยที่พ่อ
แม่พี่น้องก็ไม่มีโอกาสจะทราบข่าวถึง
วิธีการทรมานของเอลิซาเบธ
ยิ่งยกระดับเสียยิ่งกว่าเก่า มีทั้งการใช้เหล็กร้อนเผาลำคอ
ใช้เครื่องทรมานบีบหน้าอก บางครั้งเธอก็ใช้มือทั้งสองของตัวเองล้วงเข้าไปในปากและฉีกร่างของเหยื่อออก
เป็นสองซีก เด็กสาวบางคนที่พยายามจะหนีก็ถูกตัดเท้าทิ้ง
มีบันทึกกล่าวถึงงานฉลองที่เอลิซาเบธ
จัดขึ้น เธอได้รวบรวมเด็กสาวหน้าตาดีจำนวน 60 คนมาจัดงานเลี้ยง
คนแคระพากันเต้นรำ แม่มดก็พ่นไฟ เมื่องานเลี้ยงดำเนินมาถึงจุดสูงสุดนั่นเอง ประตูถูกปิดตาย
และทหารก็กรูกันเข้ามา
เด็กสาวที่พากันหนีลนลานบ้างก็ถูกข่มขืนแล้วแทงด้วยมีดที่กลางอก บ้างก็ถูกตัดหัว
บ้างก็ถูกตัดแขนตัดขาและเสียเลือดมากจนสิ้นลม
ศพและชิ้นส่วนต่างๆถูกรวบรวมมากรองเลือดใส่อ่าง
และเอลิซาเบธก็เปลื้องผ้าลงแช่ในอ่างเลือด แต่การรอให้เลือดเต็มอ่างก็ยังไม่ทันใจเธอ
เอลิซาเบธจึงทดลองวิธีที่เร็วกว่าด้วยการปาดคอเด็กสาวให้เลือดกระฉูดออกมาใส่ตนเองเหมือนฝักบัวเลือด
แต่เนื่องจากเหยื่อกรีดร้องน่ารำคาญ
เด็กสาวคนที่สองจึงถูกเย็บปากเพื่อรักษาสุขภาพหูของเอลิซาเบธ
อีกสิ่งหนึ่งที่เอลิซาเบธทิ้งไว้ในประวัติศาสตร์โลกก็คือ
เครื่องมือทรมานที่มีชื่อเสียงที่สุดชิ้นหนึ่ง Iron Maiden นั่นเอง
ช่างทำนาฬิกาถูกเรียกตัวมาจากเยอรมันเพื่อการนี้โดยเฉพาะ
มีการบรรยายเกี่ยวกับสุภาพสตรีเหล็กตัวแรกสุดไว้ดังนี้
"ตุ๊กตาเหล็กนี้มีรูปร่างเป็นร่างเปลือยทาสีเนื้อ ส่วนใบหน้ามีการแต้มเครื่องสำอาง
เมื่อกลไกขยับปาก ก็จะปรากฏรอยยิ้มอันเลื่อนลอยและเหี้ยมโหดขึ้นบนใบหน้า
ที่อกมีพลอยประดับอยู่เป็นปุ่ม เมื่อกดปุ่ม ตุ๊กตาก็จะค่อยๆยกแขนขึ้น
จากนั้นแขนก็จะเคลื่อนมาเป็นกอดอกซึ่งคนที่อยู่ในระยะรัศมีก็จะถูกแขนของ
ตุ๊กตากอดไว้ พร้อมกันนั้น ส่วนตัวด้านหน้าก็จะเปิดออกเป็นบานประตู
ภายในเป็นช่องกลวงและด้านหลังบานประตูมีเข็มแหลมยาวงอกอยู่ 5 เล่ม
ผู้ที่ถูกตุ๊กตากอดไว้จะถูกขังอยู่ภายในตัวตุ๊กตาและถูกเข็มเหล่านี้แทง
คั้นเลือดออกมาจนเสียชีวิต"
อย่างไรก็ตาม
เครื่องทรมานดังกล่าวนี้ไม่ได้ถูกใช้งานจริงมากเท่าที่เข้าใจกัน
เนื่องจากเข็มพากันทื่อเสียหมดเพราะเป็นสนิมจากเลือด เอลิซาเบธ
จึงออกคำสั่งใหม่ให้สร้างกรงเหล็กขนาดใหญ่ซึ่งมีเข็มแหลมอยู่ภายใน
กรงดังกล่าวจะถูกเฟืองโซ่ยกขึ้นสูงจากพื้นโดยมีเด็กสาวอยู่ข้างใน และเมื่อเขย่ากรง
เลือดก็จะกระจายลงมาสู่เอลิซาเบธ ที่อยู่เบื้องล่างราวกับเป็นฝนเลือด
จนเวลาผ่านไปเกือบห้าปี
ลูกสาวชาวไร่ชาวนาหายสาบสูญไปจนหมดสิ้น
ความผิดพลาดเอลิซาเบธเกิดขึ้นเมื่อเธอไปเที่ยวที่เมืองวีน
เหตุการณ์สยองจึงเริ่มเกิดต่อสาธารณชนรับรู้ครั้งแรก
เมื่อมีผู้ได้ยินเสียงผู้หญิงร้องดังออกจากห้องพักของเอลิซาเบธ เอลิซาเบทหันไปหาพวกธิดาของพวกผู้ดีมีตระกูล
บางรายเป็นลูกของเพื่อนๆผู้สูงศักดิ์ของเธอด้วยซ้ำ
ถึงตอนนี้บ่าวไพร่หมดปัญญาจะเอาศพไปทิ้งไม่ให้ใครเห็นเพราะมีเหยื่อมากมาย
ก่ายกองจนต้องโยนออกมาในตอนกลางคืนเพื่อให้ฝูงหมาป่ารุมกิน
ตอนแรกมีชาวบ้านมาพบกองซากศพที่ซีดเผือกไม่มีเลือดอยู่เหลือเลยแม้แต่หยดเดียว
เลยเกิดล่ำลือไปว่าในป่านี้มีผีดิบดูดเลือดอยู่
คนเลี้ยงสัตว์ของเอลิซาเบธจึงรีบไปตรวจดูและพบว่าเสียงนั้นเป็นเสียงของนัก
ร้องสาวของสมาคมแห่งหนึ่งในเมืองนั้น ภาพที่เห็น หญิงสาวถูกตัดมือ ตัดเท้า
และเสียชีวิต ตายตรงหน้าเอลิซาเบธ เธอบอกกับคนเลี้ยงสัตว์ของเธอว่า
นักร้องผู้นี้ทำความผิด จึงมีโทษต้องตาย
ว่าแล้วกิตติศัพท์นี้ย่อมต้องกลายเป็นที่เลื่องลือในไม่ช้า
ประชาชนก็เริ่มร้องเรียนเรื่องไปยังราชสำนักถึงเรื่องคนหาย
และมีญาติของเด็กหลายรายยืนยันว่าเด็กสาวที่ตายกันเป็นกองๆใกล้ปราสาทของเอ ลิซาเบธ
อยู่นั้นล้วนแล้วแต่ถูกล่อลวงให้มาที่ปราสาทเธอ
และแล้วพระเจ้าแมทเทียสที่
2
ก็ทรงเข้ามาจัดการกับคดีนี้ด้วยพระองค์เอง
เดือนธันวาคมปี 1610
เมื่อมาร์ควิสเธอร์โซซึ่งเป็นญาติของเอลิซาเบธ
ไปยังห้องใต้ดินของปราสาทเซติช เขาก็ต้องผงะกับสิ่งที่ตัวเองพบ เครื่องทรมานจำนวนนับไม่ถ้วน
รอยเลือดที่ชโลมอยู่แทบทุกที่และศพที่กองเป็นภูเขา บางศพถูกตัดทรวงอก
บางศพถูกเฉือนเนื้อ บางศพก็ศีรษะถูกทุบจนแหลก และบางศพก็เต็มไปรู
กลิ่นเลือดตลบอบอวลไปทั่วทั้งห้อง มีเด็กสาวบางคนถูกช่วยออกมาได้
แต่ก็เกือบไม่รอดเหมือนกันเพราะพวกเขาพบเธอในขณะที่นอนหายใจรวยรินยังไม่เสียชีวิต
เธอเล่าว่าเธอถูกจับมาพร้อมเพื่อนสาวอีกเป็นจำนวนมากโดยมีสาวใช้สองคนของเอลิซาเบธคือ
นางดอลค์และนางรีโอน่า เป็นคนสังหารนำเลือดมาให้ผู้เป็นนายชโลมผิว
เพราะเชื่อว่าเลือดคือยาอายุวัฒนะ แต่ก็ยากที่บอกว่าพวกเธอปลอดภัยดี เพราะหลายคนถูกบังคับให้กินเนื้อจากศพของเด็กสาวคนอื่น
จนบางคนกลายเป็นคนวิกลจริตด้วยซ้ำ
เอลิซาเบธ
บาโธรี่ ถูกสอบสวนในปี ค.ศ. 1610 พวกชาวไร่ชาวนาบรรดาผู้ดีมีตระกูลทั้งหลายต่างอาฆาตแค้น
และญาติสนิทของเธอเองก็โกรธเคืองอย่างหนักว่าเธอซาดิสต์ขนาดนี้ วงส์ตระกลูบาโธรี่เสื่อมเสียกันหมด
ไม่มีอำนาจใดๆที่จะช่วยให้เธอพ้นผิดไปได้แล้ว
ลูกมือของเคาน์เตสเปิดปากสารภาพเล่าวิธีการ
และบอกถึงรายนามเหยื่อเท่าที่พวกเขาจำได้เฉพาะที่จำได้คือ 160 ศพ
เดือนมกราคมปี 1611
การตัดสินคดีของเอลิซาเบธถูกจัดขึ้นที่พิซเซ่
เอลิซาเบธได้รับอนุญาตให้ไม่ต้องมาขึ้นศาลด้วยตัวเอง
และเนื่องจากฎีกาของตระกูลบาโธรี่
เธอก็รอดพ้นจากโทษประหารในขณะที่ผู้มีส่วนร่วมในการสังหารทุกคนต่างก็ถูกตัดสินโทษเผาทั้งเป็น
โดยผู้มีส่วนร่วมเป็นสาวใช้สองคนที่ทำหน้าที่ค้นหาและจับผู้หญิงสาวเคราะห์ร้ายมาสังเวยแก่เธอถึง
605
คน
หลังการไต่สวนสมุนเอกของเคาน์เตสถูกลงโทษโดยการเผาทั้งเป็นในที่สาธารณะ
เธอ ถกลากกลับไปที่ปราสาทเซติซ ของเธอเอง ที่นั้นเธอถูกให้เข้าไปอยู่ในห้องเล็กๆ
ห้องหนึ่งแล้ว เจ้าหน้าที่ของบ้านเมืองก็ก่ออิฐปิดหน้าต่างและประตูทั้งหมด
เหลือไว้เพียงช่องเล็กๆพอที่จะสอดอาหารและน้ำ
การตัดสินโทษของเอลิซาเบธ
ถูกโอนให้เป็นอำนาจของตระกูลบาโธรี่ และโดยผลการประชุมของตระกูล เอลิซาเบธ
ก็ถูกตัดสินให้ถูกจองจำอยู่ในปราสาทเซติชไปจนตลอดชีวิตในห้องขังอันมืดมิด
ซึ่งประตูถูกโบกปูนปิดตายตลอดชิวิต ไม่ให้หลุดมาทำอันตรายใครได้อีก
21 สิงหาคม
1614
ก็เป็นวันที่ปราศจากสัญญาณชีวิตจาก
เอลิซาเบธ บาโธรี่ ช่องเล็กๆ เพียงช่องเดียวก็ได้ถูกอิฐก่อปิดสนิทลง
แต่มีบางตำนานกล่าวว่าเธอหนีออกไปได้และกลายเป็นผีร้ายอยู่ในป่าของฮังการี่
ทุกวันนี้ ปราสาทเซติซ บนภูเขาคาร์ลปาเชีย ในสโลวาเกีย
ที่ซึ่งในอดีตเป็นสถานที่สังหารเหยื่อของเอลิซาเบธ ยังคงตั้งตระหง่านอยู่ที่นั่น
แม้จะเหลือแต่ซากปรักหักพังแล้ว แต่มันก็ยังน่าสะพรึงกลัวอยู่เช่นเดิม
![]() |
https://upload.wikimedia.org/wikipedia/commons/7/73/Elizabeth_Bathory_Portrait.jpg |
ชูบราคาบรา สัตว์ประหลาดดูดเลือดแพะ(?)
เอาล่ะหลังจากทำนำเอาตำนานผีดูดเลือดหลากหลายเชื้อชาติหลากหลายความเชื่อแล้ว
วันนี้เรามาพูดถึงตำนานผี(?)น่าจะเรียกว่าสัตว์ประหลาดเสียมากกว่า
ที่ดูดเลือดอะไรไม่ดูดดันเลือกดูดแต่เลือดแพะ(?)
ชูปากาบรา (สเปน: Chupacabra แปลว่า
"ตัวดูด [เลือด] แพะ") เป็นสิ่งมีชีวิตลึกลับในตำนานชนิดหนึ่ง
มีผู้ที่อ้างว่าพบเห็นมันครั้งแรกในเปอร์โตริโกในช่วงต้นทศวรรษที่ 50 และมีหลายคนรายงานว่า
มันได้ฆ่าสัตว์ชนิดต่าง ๆ เช่น แพะ ด้วยการดูดเลือด เป็นจำนวนมาก และยังคงมีผู้พบเห็นมันมาอย่างต่อเนื่องจนถึงปัจจุบัน
ปัจจุบัน ที่เปอร์โตริโก มีนักสำรวจท้องถิ่นได้สำรวจเรื่องราวเกี่ยวกับชูปากาบรา
และพบถ้ำแห่งหนึ่งที่เชื่อว่าเป็นที่อาศัยของมัน
และรอยเท้าของชูปากาบราก็มีลักษณะใหญ่คล้ายนกกระจอกเทศ
ที่รัฐเทกซัส มีเกษตรกรรายนึงอ้างว่าเขาสามารถยิงชูปากาบราได้และฝังมันไว้ในที่ดินที่บ้านของเขา
โดยเจ้าตัวที่เชื่อว่าเป็นชูปากาบรานั้นได้ฆ่าไก่ของเขาไปแล้วถึง 3 หน
ซึ่งเจ้าสัตว์ตัวนี้มีรูปร่างแปลกมาก คือ ตัวเป็นสีฟ้าปนสีเทาและไม่มีขน
แต่จากการพิสูจน์ของนักวิทยาศาสตร์จากกะโหลกและตรวจดีเอ็นเอของสัตว์ชนิดนี้แล้วนั้น
พบว่า เป็นเพียงสุนัขไคโยตี้ที่เป็นขี้เรื้อนเท่านั้น
และจากการศึกษาซากสัตว์ที่เชื่อว่าตายด้วยการดูดเลือดของชูปากาบราจนหมดตัวนั้นของแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ
พบว่า แท้จริงแล้วเลือดในตัวสัตว์เหล่านั้นยังมีอยู่ เพียงแต่ว่าถ้ามองจากภายนอกอาจดูเหมือนไม่มีเลือดเหลืออยู่ในตัวเลย
เป็นเพราะเลือดในตัวสัตว์นั้นได้หยุดไหลเมื่อหัวใจหยุดเต้น และเชื่อว่า
สัตว์ที่โจมตีสัตว์เหล่านี้นั้น น่าจะเป็น สุนัขป่าหรือลิงป่า
อย่างไรก็ตาม
จากภาพสเกตช์ของผู้ที่อ้างว่าเคยพบเห็น ชูปากาบรามีรูปร่างหน้าตาหลากหลายต่างกัน
แต่มีลักษณะที่ร่วมกันคือ มีหน้าตาคล้ายมนุษย์ต่างดาวที่เรียกว่า เกรย์ (Grey) แต่มีขาหลังที่ใหญ่คล้ายจิงโจ้
ในวันที่ 21 พฤษภาคม ค.ศ. 2010 พยาบาล 2 คน
ได้พาสุนัขไปเดินเล่นแถวริมทะเลสาบ ที่รัฐออนตาริโอ ประเทศแคนาดา ได้พบเห็นสัตว์ตัวหนึ่งที่มีลักษณะประหลาด คือ ร่างกายเต็มไปด้วยขน
แต่หัวล้านเลี่ยน หน้าตาน่ากลัว ลำตัวยาว ขายาว มีหางคล้ายหนู
ซึ่งไม่มีใครบอกได้ว่า คือสัตว์อะไร มีผู้เชื่อว่าคือ ชูปากาบรา

แนะนำภาพยนต์ Dracula Untold (แดร็กคูล่า ตำนานลับโลกไม่รู้)
สุดยอดภาพยนตร์อีพิค แอ็คชั่น ผจญภัยแห่งปี 2014 การกลับมาของแดร็กคูล่า ซึ่งในครั้งนี้ได้นักแสดงฝีมือดี ลุค อีวานส์ (Fast & Furious 6, Immortals) มาสร้างความยิ่งใหญ่กับตำนานเรื่องราวเริ่มต้นของชายผู้กลายมาเป็นแดร็กคูล่า โดยมี แกรี ชอร์ นั่งแท่นผู้กำกับ และ ไมเคิล เดอ ลูกา อำนวยการสร้าง ร่วมแสดงโดย ซาราห์ กาดอน, โดมินิค คูเปอร์, เดียร์มิด เมอร์ทัฟและซาแมนธา บาร์คส์ กำหนดเข้าฉาย16 ตุลาคม 2557
Dracula Untold บอกเล่าเรื่องราวของ เจ้าชายวลาดที่ 3 เจ้าชายแห่งวัลลาเชีย ที่ชีวิตของลูกเมียกำลังตกอยู่ในอันตรายจากศัตรูคู่แค้นอย่าง เมห์เม็ด จึงตัดสินใจทำข้อตกลงขายจิตวิญญาณของตัวเองให้กับสุลต่านกระหายเลือด เพื่อใช้เป็นหนทางเดียวสำหรับทางออก เพื่อช่วยชีวิตของครอบครัวอันเป็นที่รักเอาไว้ ในที่สุดเขาจึงต้องกลายมาเป็นแวมไพร์คนแรกของโลก หรือ แดร็กคูล่า นั่นเอง
วันอังคารที่ 23 กันยายน พ.ศ. 2557
วลาด นักเสียบ แดกคูล่าตัวจริง
พอพูดถึงหนังเกี่ยวกับแวมไพร์คงไม่มีใครไม่รู้จักท่านเคนาท์แดรกคูล่า แวมไพร์ผู้อาศัยอยู่ในปราสาทในทรานซิลวาเนียประเทศโรมาเนียหรอกใช่ไหม แต่รู่ไหมว่าตัวจริงของท่านเคานท์แดรกคูล่ามีตันฉบับมาจากกษัตริย์องค์หนึ่งของโรมาเนีย แถมยังได้รับสมยาว่า
นักเสียบ เสียอีก
วลาดที่ 3
เจ้าชายแห่งวาลาเคีย (ค.ศ.
1431–1476/7) หรือที่รู้จักโดยสกุล แดรกคิวลา พระองค์ทรงได้รับสมัญญาหลังสิ้นพระชนม์ว่า วลาดนักเสียบ (อังกฤษ: Vlad the Impaler; โรมาเนีย: Vlad
Țepeș) และทรงเป็นเจ้า (Voivode) ครองวาลาเคีย 3 สมัย
ส่วนใหญ่ระหว่าง ค.ศ. 1456 ถึง 1462 ซึ่งตรงกับช่วงที่ออตโตมันเริ่มพิชิตดินแดนคาบสมุทรบอลข่าน
วลาดที่ 2 ดรากูล (Vlad
II Dracul) พระราชบิดา ทรงเป็นสมาชิกสมาคมมังกร
(Order of the Dragon) ซึ่งตั้งขึ้นเพื่อพิทักษ์ศาสนาคริสต์ในยุโรปตะวันออก วลาดที่
3 ทรงเป็นที่เคารพในฐานะวีรบุรุษพื้นบ้านในประเทศโรมาเนียตลอดจนส่วนอื่นของทวีปยุโรปสำหรับการพิทักษ์ประชากรโรมาเนียทั้งใต้และเหนือแม่น้ำดานูบ สามัญชนและอภิชนชาวโรมาเนียและบัลแกเรียที่ยังเหลืออยู่จำนวนมากย้ายมาเหนือแม่น้ำดานูบสู่วาลาเคีย
โดยรับรองความเป็นผู้นำของพระองค์และตั้งถิ่นฐานอยู่ที่นั้นหลังการตีโฉบฉวยต่อออตโตมันของพระองค์
การเสียบ
(impalement) ข้าศึกของพระองค์เป็นส่วนหนึ่งของชื่อเสียงของพระองค์ในประวัติศาสตร์ ตลอดพระชนม์ชีพ
ชื่อเสียงของพระองค์ในด้านความโหดร้ายเกินขีดแพร่ไปต่างด้าว
ทั้งเยอรมนีและที่อื่นในทวีปยุโรป ชื่อแวมไพร์ เคานต์แดรกคูลา (Count
Dracula) ในนวนิยายแดรกคูลา ของบราม
สโตกเกอร์ ใน ค.ศ. 1897
ได้แรงบันดาลใจจากสกุลของวลาด
ประวัติโดยย่อ
วลาด
เซเปช มีพระนามอื่น คือ วลาดิสลาฟ ดรากูลา เป็นพระโอรสของ วลาด
ที่ 2 ดรากูล ซึ่งพระราชบิดานั้นได้รับตรากล้าหาญ Order of the Dragon จาก พระจักรพรรดิซิจิสมุนด์
ในวัยเยาว์ พระองค์และพระอนุชา ราดู
ผู้รูปงาม (Radu Cel Frumos) ถูกส่งไปเป็นตัวประกันภายใต้จักรวรรดิออตโตมันในฐานะประเทศราช วลาดที่
2 และพระเชษฐา เมียร์ชาที่ 2 (Mircea
II) ถูกพวกขุนนางภายใต้สังกัดฮังการีปลงพระชนม์ใน ค.ศ.
1447 เพื่อกำจัดอิทธิพลของฮังการีในวาลาเคีย
จักรวรรดิออตโตมันจึงส่งกองทัพมายึดวาลาเคีย และตั้งวลาดที่ 3 ในวัย 17 พรรษา
เป็นเจ้าชายผู้ครองรัฐภายใต้จักรวรรดิออตโตมัน แต่วลาดที่ 3 ก็ต้องเสียบัลลังก์
เมื่อ ฮุนยาดี ยานอช (Hunyadi
János) ผู้สำเร็จราชการของฮังการี
นำทัพเข้าพิชิตวาลาเคีย วลาดจึงเสด็จหนีไปประทับอยู่ที่มอลดาเวียกับ บ็อกดานที่
2 (Bogdan II) เจ้าชายแห่งมอลดาเวีย ซึ่งมีศักดิ์เป็นลุง
ภายหลังบ็อกดานถูกลอบสังหาร จึงเสด็จหนีไปฮังการี
ซึ่งฮุนยาดีประทับใจในความรู้ความสามารถของวลาด
และความเกลียดชังของวลาดที่มีต่อสุลต่านพระองค์ใหม่ สุลต่านเมห์เหม็ดที่ 2 ฮุนยาดีจึงตั้งเป็นที่ปรึกษา หลังฮุนยาดีถึงแก่อสัญกรรม
วลาดได้นำกำลังเข้ายึดวาลาเคียจาก วลาดิสลาฟที่ 2 (Vladislav
II) และขึ้นครองบัลลังก์
ค.ศ.
1459 สุลต่านเมห์เหม็ดที่ 2
ได้ส่งทูตมาเรียกร้องบรรณาการจากวาลาเคีย
วลาดปฏิเสธจะจ่ายบรรณาการ และสังหารทูตโดยการตอกตะปูกับผ้าโพกหัวให้ติดกับศีรษะ
สุลต่านทรงพิโรธ และส่งทหารเข้าโจมตีวาลาเคียในปี ค.ศ. 1462 ซึ่งวลาดได้รบแบบกองโจรและประสบความสำเร็จหลายครั้ง
แต่ภายหลังวลาดต้องแพ้เพราะมีขุนนางไส้ศึก ออตโตมานเข้าพิชิตวาลาเคีย และตั้ง ราดู
ผู้รูปงาม (Radu Cel Frumos) พระอนุชาของวลาด ซึ่งเป็นชาวมุสลิมและสวามิภักดิ์ออตโตมัน
ขึ้นบัลลังก์ วลาดเสด็จหนีไปขอความช่วยเหลือจากพันธมิตรของพระองค์คือฮังการี
แต่กลับถูกจับกุมตัวโดย พระเจ้ามะติอัช (Corvin
Mátyás) ซึ่งเป็นพระโอรสของฮุนยาดี ยานอช
และเป็นพระมหากษัตริย์ฮังการี พระเจ้ามะติอัชทรงไม่ประสงค์จะเปิดศึกกับออตโตมัน
ทั้งนี้เพราะพระองค์ได้รับเงินสนับสนุนจากพระสันตะปาปาให้ช่วยวลาดทำสงครามกับออตโตมัน
แต่พระองค์ทรงใช้ไปกับการอื่นแล้ว ไม่ประสงค์ทำศึกกับออตโตมานอีก
พระองค์จึงได้ทำจดหมายปลอมแปลงว่าวลาดฝักใฝ่สวามิภักดิ์ต่อออตโตมันโดยวางแผนทรยศฮังการีและยังเป็นผู้นำที่โหดเหี้ยมด้วย
ทั้งนี้เพื่อแสดงให้เห็นสาเหตุที่พระองค์ไม่ช่วยวลาดในการทำสงคราม
และยังแสดงถึงความชอบธรรมในการจับกุมวลาดด้วย
วลาดถูกปล่อยตัวในปี ค.ศ.
1474 และในปี ค.ศ. 1476 ราชอาณาจักรฮังการีได้ตัดสินใจที่จะสนับสนุนวลาดให้กลับไปยึดวาลาเคียอีกครั้ง
วลาดสามารถยึดบัลลังก์จาก บาซารับ ลาโยตู (Basarab
Laiotă) ได้ และปกครองบัลลังก์วาลาเคียเป็นสมัยที่
3 ซึ่งพระองค์ปกครองได้ไม่นาน
ก็ได้ถูกสังหารลงในการรบกับออตโตมัน

สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)