พอพูดถึงหนังเกี่ยวกับแวมไพร์คงไม่มีใครไม่รู้จักท่านเคนาท์แดรกคูล่า แวมไพร์ผู้อาศัยอยู่ในปราสาทในทรานซิลวาเนียประเทศโรมาเนียหรอกใช่ไหม แต่รู่ไหมว่าตัวจริงของท่านเคานท์แดรกคูล่ามีตันฉบับมาจากกษัตริย์องค์หนึ่งของโรมาเนีย แถมยังได้รับสมยาว่า
นักเสียบ เสียอีก
วลาดที่ 3
เจ้าชายแห่งวาลาเคีย (ค.ศ.
1431–1476/7) หรือที่รู้จักโดยสกุล แดรกคิวลา พระองค์ทรงได้รับสมัญญาหลังสิ้นพระชนม์ว่า วลาดนักเสียบ (อังกฤษ: Vlad the Impaler; โรมาเนีย: Vlad
Țepeș) และทรงเป็นเจ้า (Voivode) ครองวาลาเคีย 3 สมัย
ส่วนใหญ่ระหว่าง ค.ศ. 1456 ถึง 1462 ซึ่งตรงกับช่วงที่ออตโตมันเริ่มพิชิตดินแดนคาบสมุทรบอลข่าน
วลาดที่ 2 ดรากูล (Vlad
II Dracul) พระราชบิดา ทรงเป็นสมาชิกสมาคมมังกร
(Order of the Dragon) ซึ่งตั้งขึ้นเพื่อพิทักษ์ศาสนาคริสต์ในยุโรปตะวันออก วลาดที่
3 ทรงเป็นที่เคารพในฐานะวีรบุรุษพื้นบ้านในประเทศโรมาเนียตลอดจนส่วนอื่นของทวีปยุโรปสำหรับการพิทักษ์ประชากรโรมาเนียทั้งใต้และเหนือแม่น้ำดานูบ สามัญชนและอภิชนชาวโรมาเนียและบัลแกเรียที่ยังเหลืออยู่จำนวนมากย้ายมาเหนือแม่น้ำดานูบสู่วาลาเคีย
โดยรับรองความเป็นผู้นำของพระองค์และตั้งถิ่นฐานอยู่ที่นั้นหลังการตีโฉบฉวยต่อออตโตมันของพระองค์
การเสียบ
(impalement) ข้าศึกของพระองค์เป็นส่วนหนึ่งของชื่อเสียงของพระองค์ในประวัติศาสตร์ ตลอดพระชนม์ชีพ
ชื่อเสียงของพระองค์ในด้านความโหดร้ายเกินขีดแพร่ไปต่างด้าว
ทั้งเยอรมนีและที่อื่นในทวีปยุโรป ชื่อแวมไพร์ เคานต์แดรกคูลา (Count
Dracula) ในนวนิยายแดรกคูลา ของบราม
สโตกเกอร์ ใน ค.ศ. 1897
ได้แรงบันดาลใจจากสกุลของวลาด
ประวัติโดยย่อ
วลาด
เซเปช มีพระนามอื่น คือ วลาดิสลาฟ ดรากูลา เป็นพระโอรสของ วลาด
ที่ 2 ดรากูล ซึ่งพระราชบิดานั้นได้รับตรากล้าหาญ Order of the Dragon จาก พระจักรพรรดิซิจิสมุนด์
ในวัยเยาว์ พระองค์และพระอนุชา ราดู
ผู้รูปงาม (Radu Cel Frumos) ถูกส่งไปเป็นตัวประกันภายใต้จักรวรรดิออตโตมันในฐานะประเทศราช วลาดที่
2 และพระเชษฐา เมียร์ชาที่ 2 (Mircea
II) ถูกพวกขุนนางภายใต้สังกัดฮังการีปลงพระชนม์ใน ค.ศ.
1447 เพื่อกำจัดอิทธิพลของฮังการีในวาลาเคีย
จักรวรรดิออตโตมันจึงส่งกองทัพมายึดวาลาเคีย และตั้งวลาดที่ 3 ในวัย 17 พรรษา
เป็นเจ้าชายผู้ครองรัฐภายใต้จักรวรรดิออตโตมัน แต่วลาดที่ 3 ก็ต้องเสียบัลลังก์
เมื่อ ฮุนยาดี ยานอช (Hunyadi
János) ผู้สำเร็จราชการของฮังการี
นำทัพเข้าพิชิตวาลาเคีย วลาดจึงเสด็จหนีไปประทับอยู่ที่มอลดาเวียกับ บ็อกดานที่
2 (Bogdan II) เจ้าชายแห่งมอลดาเวีย ซึ่งมีศักดิ์เป็นลุง
ภายหลังบ็อกดานถูกลอบสังหาร จึงเสด็จหนีไปฮังการี
ซึ่งฮุนยาดีประทับใจในความรู้ความสามารถของวลาด
และความเกลียดชังของวลาดที่มีต่อสุลต่านพระองค์ใหม่ สุลต่านเมห์เหม็ดที่ 2 ฮุนยาดีจึงตั้งเป็นที่ปรึกษา หลังฮุนยาดีถึงแก่อสัญกรรม
วลาดได้นำกำลังเข้ายึดวาลาเคียจาก วลาดิสลาฟที่ 2 (Vladislav
II) และขึ้นครองบัลลังก์
ค.ศ.
1459 สุลต่านเมห์เหม็ดที่ 2
ได้ส่งทูตมาเรียกร้องบรรณาการจากวาลาเคีย
วลาดปฏิเสธจะจ่ายบรรณาการ และสังหารทูตโดยการตอกตะปูกับผ้าโพกหัวให้ติดกับศีรษะ
สุลต่านทรงพิโรธ และส่งทหารเข้าโจมตีวาลาเคียในปี ค.ศ. 1462 ซึ่งวลาดได้รบแบบกองโจรและประสบความสำเร็จหลายครั้ง
แต่ภายหลังวลาดต้องแพ้เพราะมีขุนนางไส้ศึก ออตโตมานเข้าพิชิตวาลาเคีย และตั้ง ราดู
ผู้รูปงาม (Radu Cel Frumos) พระอนุชาของวลาด ซึ่งเป็นชาวมุสลิมและสวามิภักดิ์ออตโตมัน
ขึ้นบัลลังก์ วลาดเสด็จหนีไปขอความช่วยเหลือจากพันธมิตรของพระองค์คือฮังการี
แต่กลับถูกจับกุมตัวโดย พระเจ้ามะติอัช (Corvin
Mátyás) ซึ่งเป็นพระโอรสของฮุนยาดี ยานอช
และเป็นพระมหากษัตริย์ฮังการี พระเจ้ามะติอัชทรงไม่ประสงค์จะเปิดศึกกับออตโตมัน
ทั้งนี้เพราะพระองค์ได้รับเงินสนับสนุนจากพระสันตะปาปาให้ช่วยวลาดทำสงครามกับออตโตมัน
แต่พระองค์ทรงใช้ไปกับการอื่นแล้ว ไม่ประสงค์ทำศึกกับออตโตมานอีก
พระองค์จึงได้ทำจดหมายปลอมแปลงว่าวลาดฝักใฝ่สวามิภักดิ์ต่อออตโตมันโดยวางแผนทรยศฮังการีและยังเป็นผู้นำที่โหดเหี้ยมด้วย
ทั้งนี้เพื่อแสดงให้เห็นสาเหตุที่พระองค์ไม่ช่วยวลาดในการทำสงคราม
และยังแสดงถึงความชอบธรรมในการจับกุมวลาดด้วย
วลาดถูกปล่อยตัวในปี ค.ศ.
1474 และในปี ค.ศ. 1476 ราชอาณาจักรฮังการีได้ตัดสินใจที่จะสนับสนุนวลาดให้กลับไปยึดวาลาเคียอีกครั้ง
วลาดสามารถยึดบัลลังก์จาก บาซารับ ลาโยตู (Basarab
Laiotă) ได้ และปกครองบัลลังก์วาลาเคียเป็นสมัยที่
3 ซึ่งพระองค์ปกครองได้ไม่นาน
ก็ได้ถูกสังหารลงในการรบกับออตโตมัน

ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น